วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตาที่สามประตูแห่งจิตใต้สำนึก(กลไกแห่งชีวิต)

ดวงจิตในมนุษย์ของคนเราผู้ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลศตัณหานั้นมีกันอยู่หลายดวงรวมกันเป็นดวงเดียวกันอยู่เหมือนสีหลากหลายสีที่ผสมกันยากที่จะแยกออกมาเป็นอย่างๆได้โดยเกิดจากแรงสัมผัสจากภายนอกและภายในเรียกว่าแรงแห่งอารยตนะ เมื่อมารวมกันแล้วเราเรียกว่า"จิตใจ"ก็ได้เรียกว่า"ใจ"ก็ได้เรียกว่าเป็น "มาร"ก็ยังได้ เพราะว่าใจนั้นเกิดจากกิเลศหลายๆอย่างมารวมกันกดทับผสมปนเปภายในดวงจิต แต่หากเมื่อใด เราเอาสีเหล่านั้นออกจากดวงจิตจนหมด ไม่เหลือแม้แต่สีเดียว แม้สีขาวที่ว่าใสสะอาดก็ไม่เหลือ ไม่อาจเรียกว่ามีสีใดๆเลย นั้นก็ถือว่าเป็นดวงจิตดวงเดียวได้ ถามว่ายากไหม ตายแล้วตายอีกยังทำไม่ได้ เพราะว่าไม่เข้าใจ ในจิตอย่างลึกซึ้งถ่องแท้และถูกต้องจึงหลงตายหลงเกิด กันอยู่อย่างนี้ ไม่จบสิ้น
ตาที่สามประตูแห่งจิตใต้สำนึก(กลไกแห่งชีวิต)
ทุกวันนี้เราใช้ตาเนื้อ สัมผัสภาพต่างๆบันทึกลงไปในสมอง ส่วนหนึ่งก็ฝังลงไปในจิตใต้สำนึกโดยที่เราไม่รู้ตัว จะมากน้อยจำได้นานได้น้อยก็อยู่ที่แรงกระัตุ้นจากภาพที่เห็นนั้นๆมาตลอดเวลาส่งไปเป็นการกระทำและตอบสนองของจิตสำนึกและจิตไม่สำนึกเป็นปถุชนทั่วไปทุกคนเป็นเช่นนั้นจนเคยชิน หากเมื่อใดเราเปิดประตูแห่งจิตใต้สำนึกได้ เราจะเห็น ภาพอีกภาพนึง ที่คมชัด ภายในดวงจิตซึ่งการเห็นนี้มิได้เห็นจากตาเนื้อแต่เห็นจากตาในภาพเหล่าสะสมมาก่อนเราเกิดมาผสมปนเปกับปัจจุบันบางคนเห็นเป็นสภาพ ภูติผีปีศาจ เทวดา นรกสวรรค์ และสถานที่ต่างๆ ซ้อนทับกับปัจจุบัน บางครั้งไม่อาจแยกแยะตาเนื้อและตาในได้ถามว่าเขาเห็นจริงไหมเขาเห็นจริงๆเห็นจากจิตมโนสำนึกที่ฝังมาหากใครผู้นั้นมีการฝึกฝนมาจนได้เห็นก็สามารถควบคุมและอยู่กับมันได้ หากอยู่ๆตาที่สามนั้นเปิดขึ้นมาเองโดยไม่ได้ฝึกฝนจะเกิดจากปัจจัยใดๆไม่อาจทราบได้ คนผู้นั้นก็จะเหมือน คนบ้าในสายตาเรา เพราะเขาไม่รู้อันไหนเท็จอันไหนจริง ตาที่สามคือประตูเปิดเข้าไปใน จิตใต้สำนึก เมื่อเข้าไปแล้ว เหมือนเราย้อนเวลา ไปดูสิ่งที่ผ่านมา ทั้งในอดีต ในชาติที่แล้ว เวรกรรมต่างๆที่ได้กระทำ บางครั้งเห็นกรรม ของคนอื่นๆด้วย จะเรียกว่าเข้าไปในโลกแห่งวิญญาณ ก็ได้ เพราะจิตใต้สำนึกสามารถสื่อกับวิญญาณต่างๆได้ เป็นมิติที่5 คือมิติที่วิญญาณต่างๆอาศัยอยู่ ทับซ้อนกันกับโลก แค่ต่างมิติ สามารถมองเห็นด้วยจิต ไม่ใช่เห็นด้วยตาเนื้อ แต่ความชัดนั้นพอๆกัน บางครั้งคนๆนั้นคิดว่าตัวเองเห็นด้วยตาเนื้อ ซึ่งจริงๆไม่ใช่ เป็นตาที่สามของจิตเมื่อทับซ้อนกับการเห็นด้วยตาเนื้อเป็นหนังสองเรื่อง แยกแยะไม่ออกอันไหนปัจจุบันและมิติที่5 จะเหมือนคนบ้า พูดเพ้อเจ้อเห็นโน่นเห็นนี่ซึ่งก็เห็นจริงๆนั่นแหละไม่ได้โกหกเราต้องเข้าใจตรงนี้ด้วยว่าเขาเห็นจริงๆ ซึ่งตรงนี้เกิดขึ้นกับหลายๆคนจนต้องเข้าไปรักษากับแพทย์ มากมาย แพทย์ก็ให้ยาระงับประสาทและให้่พักผ่อนมากๆซึ่งก็ดีขึ้นในระดับหนึ่ง เดี๋ยวเขาก็กับมาเห็นอีกเหมือนเดิม หากประตูจิตใต้สำนึกนั้นเปิดออกสำหรับผู้ที่ฝึกฝนมาจนสำเร็จถึงขั้นแล้วนั้นสามารถเปิดและปิดควบคุมดูแล อันไหนเห็นด้วยจิตเห็นด้วยตาเนื้อ ใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ ไม่หลงไปกับจิตใต้สำนึกกับภาพที่ปรากฏให้เห็นไม่คล้อยตามไม่เล่นตาม ไม่หวาดกลัว ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ในการสื่อสารกับวิญญาณเพื่อแก้ไขเวรกรรมต่างๆให้เบาบางลงเพราะภาพในจิตนั้นทำอะไรเราไม่ได้นอกจากเราจะทำของเราเองคิดไปเอง หากผู้ไม่ได้ฝึกฝนมา จิตใต้สำนึกกลับเปิดมาเอง ก็จะควบคุมไม่ได้แถมยังไปเป็นตัวละครเล่นกับวิญญาณกับภาพต่างๆในจิตใต้สำนึกซึ่งฝังภาพกรรมต่างๆมาหลายภพหลายชาติมองเห็นชัดด้วยจิตมาบวกกับภาพปัจจุบันที่เห็นด้วยตาเนื้อจนกลายเป็นหนังสองเรื่องมารวมกันแยกแยะไม่ออก จนเหมือนคนเพ้อเจ้อเหมือนคนบ้า บางครั้งเกิดความกลัวเมื่อไปเห็นสิ่งที่น่ากลัวคิดว่าเป็นจริงระงับไม่อยู่ต่อสู้ไม่เป็นจนกลายเป็นคนบ้าประสาทหลอนไปเลยก็มี ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจ แล้วใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่าใช้ให้เป็นโทษแก่ตัวเอง การจะเห็นวิญญาณ ผีสาง เทวดา ด้วยตาเนื้อนั้น ตามความเป็นจริงแล้วเราจะเห็นเองไม่ได้ นอกจากสิ่งนั้นต้องการให้เราเห็นให้่เรารู้ เราจึงจะเห็นและรู้ได้ แต่หากเราฝึกฝนจนเปิด ประตูแห่งจิตใต้สำนึกได้แล้ว จิตนั้นจะเกิดตาที่สาม จะเห็นวิญญาณ ผีสาง เทวดาด้วยจิต ซึ่งชัดเจนพอๆกันกับตาเนื้อ บางครั้งการเห็นจะทับซ้อนกับตาเนื้อเหมือนหนัง2เรื่องมารวมกันเราก็ต้องแยกให้ออก อันไหนจิตใต้สำนึกอันไหนปัจจุบัน หากเรา่ควบคุมอยู่กับมันได้ จะเป็นประโยชน์มากๆ จิตจะเข็มแข็งมีพลังไม่คล้อยตามกับภาพที่เห็น และสามารถเข้าและออกจากจิตใต้สำนึกได้เมื่อเราต้องการแต่จิตที่เหนือไปกว่านั้นก็คือจิตไร้สำนึก ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิต เราไม่ใช่เจ้าของควบคุมไม่ได้แต่สามารถฝึกฝนได้ จากจิตสำนึก ลงไปจิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึกเขาก็จะทำหน้าที่ของเขาเองเหมือนเราเลี้ยงเด็กซักคน เราต้องการให้เขาเป็นคนดี เราก็สอนทำความดีต่างๆให้เขาเห็นเขาทำตามพาเข้าวัดฟังธรรม ปล่อยนกปล่อยปลา พาไปออกกำลังกาย พาไปที่ยวให้ความสุขแก่เขา ดูแลเขาในขั้นต้น ขั้นกลาง และช่วยอบรมเขา จนกระทั่งเมื่อเขาโตขึ้นปัจจัยต่างๆนี้ก็จะส่งผลให้เขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและเป็นคนดี ก็เหมือนจิตไร้สำนึก นี่แหละ ดูแลเขาไป ในที่สุดเขาก็เป็น จิตไร้สำนึกที่ดีเฟอร์เฟ็กไปเอง เราไปบังคับเขาให้เป็นจิตไร้สำนึกที่ดีไม่ได้ แต่สอนได้ ดีไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเขา ในเมื่อเราสอนดีแล้วเขาก็เป็นคนดีของเขาเอง และไปนิพพานเอง นี่แหละคือสิ้นสุด การเวียนว่ายตายเกิด จบกัน สาธุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แค่คิดว่าอยากเป็นคนดี ก็ใช้ได้แล้วเพื่อน

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น